การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เป็นจุดเริ่มการพาประเทศถอยหลังทางการเมืองการปกครองรอบหลังสุดและต่อเนื่องมาถึงการรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อ 22พฤษภาคม2557 เนื่องจากอ้างว่า รัฐประหารปี49 นั้นเสียของ
สมัยนั้นหลังการรัฐประหารก็เกิดคำถามว่า ใครอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร
ข่าวหน้าสื่อตอนรัฐประหารปี 2549 ที่ตอนนั้นสื่อโซเชียลไม่มีเหมือนตอนนี้ ก็คือ สื่อทำให้สังคมเข้าใจว่า ประชาชนชื่นชมการรัฐประหาร ไม่รู้ว่าชื่นชมจริงหรือโฆษณาชวนเชื่อ แต่หากเป็นสมัยนี้คงโดนตามขุด และอาจมีทัวร์ลง
การแก้ปัญหาแบบมักง่ายและใช้วิธีลัดโดยการรัฐประหาร ไม่เคยแก้ปัญหาของประเทศได้ เพราะถ้าแก้ได้คงไม่มีการรัฐประหารครั้งที่19-20 ครั้ง มันต้องจบแค่ครั้งแรกถ้าแก้ปัญหาได้
มรดกบาปหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ที่รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ทิ้งไว้ก็คือ พรบ.จัดระเบียบราชการกลาโหม ที่ให้อำนาจการแต่งตั้ง ปรับลดปลดย้ายนายทหารชั้นนายพลไปอยู่ในอำนาจของกรรมการของกลาโหม ซึ่งกรรมการประกอบด้วย รมว.และรมช.กลาโหม ปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุดและผบ.เหล่าทัพ
ซึ่งพอกฎหมายกำหนดไว้แบบนี้ ก็เลยทำให้กองทัพตัดขาดจากอำนาจกำกับควบคุมจากอำนาจที่ยึด
ทีนี้ถ้ารัฐบาลเห็นว่า ผบ.เหล่าทัพหรือนายพลคนใดมีท่าทีหรือมีอำนาจที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐ อยากจะปลดจะย้ายก็ทำไม่ได้ หากคณะกรรมการที่มี ผบ.เหล่าทัพเป็นเสียงส่วนใหญ่นี้ไม่ยินยอม
แล้วลองคิดดูว่า จะมี ผบ.ทบ หรือ ผบ.เหล่าทัพคนไหนจะยอมให้รัฐบาลปลดตัวเองออกจากตำแหน่ง
นอกจากนี้ กฎหมายนี้ยังใส่กุญแจล็อคไว้อีกชั้นว่า ถ้าจะแก้กฎหมายนี้ ก่อนจะเอากฎหมายไปผ่าน ครม.เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ต้องให้สภากลาโหมให้ความเห็นชอบให้แก้ก่อน ถ้าสภากลาโหมไม่ให้ความเห็นชอบ ร่างกฎหมายที่จะแก้ก็ให้เป็นโมฆะ
นี่เป็นเหตุผลด้วยว่า ทำไมยิ่งลักษณ์ปลดหรือย้ายประยุทธ์ไม่ได้ในตอนที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 54 ทั้งที่มีเสียงเรียกร้องให้ปลด ไม่ว่าจะอยากปลดหรือไม่อยากปลดก็ได้แต่ทำหน้าชื่นอกตรม กับพยายามจะดึงมาเป็นพวก จนถูกหักหลังโดนรัฐประหารในที่สุด
กฎหมายนี้ เลยทำให้กองทัพกลายเป็นอำนาจซ้อนรัฐที่แตะต้องไม่ได้มากยิ่งขึ้นจากอำนาจของประชาชน และกองทัพก็ไม่เคยเป็นกองทัพของประชาชน ทหารก็เป็นทหารของพระราชา
จนทุกวันนี้กองทัพยึดโยงกับประชาชนเพียงแค่ให้ประชาชนเป็นผู้เลี้ยงดู เพราะกองทัพไม่ว่าที่ไหนในโลกก็ไม่สามารถหารายได้เลี้ยงดูตัวเองได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น