มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ใช้เทคนิคใหม่ วิเคราะห์เครือข่ายพันธุกรรม ช่วยให้เห็นภาพรวมของการระบาดของโรค COVID-19 ได้







"มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ใช้เทคนิคใหม่ วิเคราะห์เครือข่ายพันธุกรรม ช่วยให้เห็นภาพรวมของการระบาดของโรค COVID-19 ได้"

จริงๆ หัวข้อของข่าวเรื่องนี้ ในทางวิชาการก็มีแค่นี้แหละครับ แต่สื่อมวลชนทั้งในต่างประเทศและในไทย ก็เอาไปพาดข่าวกันซะเป็นเรื่องใหญ่โตน่ากลัวไปเลย

เช่น ที่ไทยรัฐพาดหัวว่า "ตะลึง พบเชื้อโควิด กลายพันธุ์เป็น 3 สายพันธุ์แล้ว หวังเอาชนะภูมิคุ้มกันมนุษย์" ซึ่งก็เป็นการแปลข่าวมาจากสำนักข่าวสร้างสีสันประเทศอังกฤษ อย่าง The Sun (ดูลิงค์ด้านล่าง)

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้มีอะไรจะน่าตะลึงถึงขนาดนั้น การกลายพันธุ์ของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์นี้ โดยรวมแล้วถือว่าค่อนข้างช้า ช้ากว่าของไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั่วไปมากนัก

แต่นักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะติดตามการกลายพันธุ์ของมัน ว่าเป็นไปในลักษณะไหนแล้ว และขณะนี้พอจะแบ่งกลุ่มของสายพันธุ์ออกได้เป็น 3 กลุ่ม โดยที่บางกลุ่มนั้น ได้ถูกคัดเลือกตามธรรมชาติ ให้แตกต่างออกไปจากเดิม ตามสภาพของภูมิคุ้มกันของคนในแต่ละประชากร (ไม่ใช่ว่ามันจะมีสมอง ที่จะหวังเอาชนะภูมิคุ้มกันของมนุษย์)

ต่อไปจะเป็นสรุปรายละเอียดของข่าวที่ทางมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ให้ออกมาอย่างเป็นทางการครับ (https://www.cam.ac.uk/…/covid-19-genetic-network-analysis-p…)


1. นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษและประเทศเยอรมนี ได้ช่วยกันสร้างแผนภาพ "เส้นทางวิวัฒนาการ" ของโรค COVID-19 in humans ที่กําลังแพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีนออกไปยังทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือโดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า เครือข่ายพันธุกรรม genetic network

2. พวกเขาอาศัยจีโนม (คือลำดับพันธุกรรมทั้งหมด) ของเชื้อไวรัส 160 ตัวอย่างจากคนไข้ มาสร้างเป็นแผนที่ที่บอกถึงจุดกำเนิดของการแพร่กระจายเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ โดยดูการกลายพันธุ์ของพวกมัน ซึ่งมีสายวิวัฒนาการที่แตกต่างกันหลาย

3. ปัญหาคือ มีการกลายพันธุ์แบบรวดเร็วเกิดขึ้นหลายตำแหน่ง จำนวนมากเกินกว่าที่จะทำเป็นแผนภูมิต้นไม้วงศ์วานวิวัฒนาการ (phylogenetic tree) ให้เรียบร้อยชัดเจนได้ พวกเขาจึงใช้อัลกอริทึมทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า เครือข่าย (network) เพื่อนำเอาแผนภูมิต้นไม้วิวัฒนาการ ที่เป็นไปได้ทั้งหมด มาแสดงพร้อมกันในรูปเดียว ... เทคนิคแบบนี้ มักจะนำไปใช้ในการติดตามการเคลื่อนที่ของประชากรมนุษย์ในสมัยโบราณ ผ่านการศึกษาดีเอ็นเอ

4.1 คณะวิจัยและใช้ข้อมูลของจีโนมเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่เก็บรวบรวมมาจากทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคมปีที่แล้ว จนถึงวันที่ 4 มีนาคมปีนี้ แล้วพบว่าน่าจะแบ่งแยกความแปรปรวนของสายพันธุ์ (variant) ออกมาได้เป็น 3 สาย โดยการจับกระจุกของสายวิวัฒนาการที่อยู่เป็นญาติใกล้ชิดกัน และกำหนดให้เป็น variant ‘A’ ‘B’ และ ‘C’

4.2 โดยสรุป variant ‘A’ เป็นญาติใกล้ชิดกับไวรัสที่พบในค้างคาวและในตัวนิ่ม (ตัวลิ่น) และถูกเรียกว่าเป็น ต้นต่อของการระบาด ... ส่วนเชื้อแบบ ‘B’ นั้นเป็นแบบที่มีพัฒนาการมาจากแบบ ‘A’ ... ขณะที่เชื้อแบบ ‘C’ นั้นเป็นเหมือนกับเป็นสายลูกของแบบ ‘B’ อีกทีหนึ่ง

5.1 สาย variant A นั้น เป็นสายพันธุ์ที่มีความคล้ายคลึงกับเชื้อโคโรนาไวรัสที่พบในค้างคาว เป็นสายแรกที่พบในมนุษย์ โดยเจอที่เมืองอู่ฮั่นประเทศจีน แต่ไม่ใช่สายพันธุ์ที่โดดเด่นในพื้นที่นั้น

5.2 สาย variant A นี้มีการกลายพันธุ์ต่อไป โดยพบในคนอเมริกันที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองอู่ฮั่น .. และไวรัสแบบ A นี้ก็พบมากในตัวอย่างเชื้อในคนไข้ ที่มาจากประเทศอเมริกาและออสเตรเลีย

6.1 สาย variant B เป็นเชื้อแบบที่พบมากในเมืองอู่ฮั่น และในคนไข้อื่นๆ ของประเทศเขตเอเชียตะวันออก เชื้อไวรัสสายนี้ไม่ค่อยมีการกลายพันธุ์ต่อไปมากนัก และถูกจำกัดเอาไว้แค่ในบริเวณเอเชียตะวันออก

6.2 คณะผู้วิจัยคาดว่า นี่อาจจะแสดงถึงปรากฏการณ์ผู้ก่อตั้งถิ่นฐาน ที่เกิดขึ้นในเมืองอู่ฮั่น (founder effect เป็นสมมติฐานใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมอย่างรวดเร็ว จากภาวะคอขวดทางพันธุกรรม (genetic bottleneck) เช่น เกิดมีเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ขึ้นในคนเพียงไม่กี่คน แต่คนกลุ่มนี้ได้แพร่เชื้อออกไปเป็นวงกว้าง เหมือนกับการตั้งถิ่นฐานให้กับเชื้อโรค)

6.3 หรือไม่ฉะนั้น สาย varient B นี้ อาจจะวิวัฒนาการ ปรับตัวในด้านภูมิคุ้มกันหรือด้านสิ่งแวดล้อม มาให้เหมาะสมจะอยู่ได้แต่ในประชากรของคนในเขตเอเชียตะวันออกเท่านั้น ... ถ้ามันจะถ้ากระจายออกไปในพื้นที่อื่นๆ นอกเขตเอเชียตะวันออก ก็คงจะต้องกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงไป มิฉะนั้น ก็อาจจะถูกกลไกบางอย่าง ยับยั้งไม่ให้แพร่ระบาดได้ง่ายในพื้นที่อื่น

7. สาย variant C นั้นพบในยุโรปเป็นส่วนใหญ่ โดยพบในผู้ป่วยคนแรกๆ ที่เจอในฝรั่งเศส อิตาลี สวีเดน และอังกฤษ ไวรัสสายนี้ไม่พบในการศึกษาของประเทศจีนเลย แต่เคยพบในประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง และเกาหลีใต้ (จึงทำให้สันนิษฐานกันว่า เป็นการกลายพันธุ์จากเชื้อแบบ B ในสิงคโปร์ มาเป็นแบบ C ก่อนจะระบาดไปที่ยุโรป)

8. การวิเคราะห์รูปแบบใหม่นี้จึงทำให้ทราบด้วยว่า เชื้อไวรัสที่เข้าไปในประเทศอิตาลี มี 2 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกนั้น เริ่มมาจากเชื้อที่มีการตรวจพบในประเทศเยอรมนีตั้งแต่วันที่ 27 มกราคมปีนี้ (ก่อนการระบาดใหญ่ค่อนข้างนาน) และอีกเส้นทางหนึ่ง มาจากเชื้อที่เป็นญาติใกล้ชิดกับกลุ่มเชื้อที่เจอในประเทศสิงคโปร์

9. คณะนักวิจัยเชื่อว่า เทคนิคการสร้างแผนภูมิเครือข่ายพันธุกรรมแบบนี้ สามารถช่วยให้เราติดตามการระบาดของโรคได้อย่างแม่นยำ ผ่านการศึกษาการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์เชื้อไวรัส และต่อจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้ป่วยแต่ละเคสได้ รวมถึงสามารถช่วยทำนาย hotspot ของการแพร่ระบาดของโรคขึ้นในอนาคต

10. การวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์แล้ว ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) (ดูลิงค์ด้านล่าง) ... จนถึงขณะนี้ คณะนักวิจัยได้ขยายผลการวิเคราะห์ของพวกเขาออกไปจนครอบคลุมจีโนมเชื้อไวรัสกว่า 1,001 ตัวอย่างแล้ว

11. ผลการวิเคราะห์ล่าสุดที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ พบว่า การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 นั้น จริงๆ แล้ว น่าจะเริ่มต้นมานานแล้ว คือ ระหว่างกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว

ภาพข่าวไทยรัฐ จาก https://www.thairath.co.th/news/foreign/1817541

ภาพแผนที่การกระจายเชื้อ จากข่าวของหนังสือพิมพ์ The Sun ที่ https://www.thesun.co.uk/…/coronavirus-mutated-three-disti…/

ภาพผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จากในรายงานฉบับเต็ม อ่านได้ที่ https://www.pnas.org/content/early/2020/04/07/2004999117

ปล. การศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตด้วยเทคนิคประเภทนี้ เป็นสาขาที่ผมสอนอยู่ที่จุฬาฯ ครับ



แหล่งที่มา Jessada Denduangboripant




.
Share on Google Plus

About บริการทำเว็บไซส์ blogspot สายblogger influencer สายท่องเที่ยว อาหารของกิน บิวตี้ความงาม สร้างด้วยblogspot suraphan x2

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น